
ด่วน! ศาลฎีกานักการเมืองสั่งติดตะราง 1 ปี ปรับ 2 แสน ‘ธณิกานต์ พรดงษาโรจน์’ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานครพปชราชการ
ศาลฎีกานักการเมืองสั่งติดตะราง 1 ปี ปรับ 2 แสน ‘ธณิกานต์ พรดงษาโรจน์’ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร พรรค พปชราชการ ใช้อิทธิพลหน้าที่ไม่ดีแทงบัตรแทนกันมีเหตุเมตตาโทษ รอคอยลงทัณฑ์ 2 ปี
ตอนวันที่ 3 ส.ค. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ครอบครองตำแหน่งทางด้านการเมือง องค์แผนกตุลาการอ่านคำตัดสินคดีลำดับที่ดำที่ 19/2564 คดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง นางสาวธณิกานต์ พรดงษาโรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชากรเมือง (ตำแหน่งขณะก่อนถูกสั่งจบทำหน้าที่)
โดยโจทก์ฟ้องว่า ตอนวันที่ 8 เดือนสิงหาคม 2562 กลางวัน เชลยครองตำแหน่งส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่ 7 (บางซื่อ-ดุสิต) จังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ครองตำแหน่งทางด้านการเมืองและก็เป็นเจ้าหน้าที่ของเมือง เซ็นชื่อร่วมสัมมนาสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 1 ครั้งที่ 14 (ยุคสามัญรายปีครั้งอันดับหนึ่ง) ซึ่งมีการพินิจพิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 พุทธศักราช … โดยมิได้ลาสัมมนา แต่ว่ามิได้อยู่ในห้องประชุม เชลยฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปรากฏตัวรวมทั้งลงความเห็นของเชลยกับผู้แทนราษฎรรายอื่น หรือบัตรของเชลยอยู่ในความครองของผู้แทนราษฎรรายอื่นโดยความยินยอมพร้อมใจของเชลย เพื่อส.ส.รายนั้นใช้บัตรของเชลยกดปุ่มปรากฏตัวแล้วก็ลงความเห็นแทนเชลยสำหรับในการไตร่ตรองร่าง พระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 พุทธศักราช … วาระที่ 1 โดยมีเจตนาคดโกงค้นหาคุณประโยชน์เพื่อตัวเองหรือคนอื่น หรือมีการปฏิบัติที่ทราบเรื่องหรือยินยอมให้คนอื่นๆใช้ตำแหน่งงานของตัวเองเสาะหาผลดีโดยไม่ถูกต้องจากการออกเสียงลงคะแนนแทนกัน อันเป็นพฤติกรรมโดยไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดแล้วก็ข้อปฏิบัติที่เกี่ยว ส่งผลให้สภาผู้แทนราษฎรประชาชนคนไทยคนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และกรรมวิธีการออกกฎหมายของข้างนิติบัญญัติได้รับความย่ำแย่
ขอให้ลงทัณฑ์ตาม พ.ราชการเปรียญเกี่ยวกับการคุ้มครองรวมทั้งปราบการโกง พุทธศักราช2561 มาตรา 172 เชลยให้การไม่ยอมรับ
องค์แผนกตุลาการวิเคราะห์แล้วมีความเห็นว่า การพินิจพิเคราะห์คดีอาญาของผู้ครอบครองตำแหน่งทางด้านการเมืองใช้ระบบสืบสวนซึ่งศาลเป็นผู้ค้นหาข้อเท็จจริงไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นอันตรายแก่ฝ้ายข้างใดข้างหนึ่ง โดยนำสำนวนการสืบสวนของคณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นหลักสำหรับในการพินิจพิเคราะห์ และก็เพื่อคุณประโยชน์ที่ความชอบธรรมให้ศาลมีอำนาจสอบปากคำหาความจริงรวมทั้งหลักฐานเพิ่มเติมอีกได้ ตามมายี่ห้อ 6 วรรคหนึ่งรวมทั้งวรรคสอง ที่ พ.ราชการเปรียญเกี่ยวกับแนวทางพิจารณาคดีอาญาของผู้ครอบครองตำแหน่งด้านการเมือง พุทธศักราช2560
แบบนี้โจทก์ก็เลยไม่มีภาระหน้าที่พิสูจน์ถึงพฤติกรรมข้อผิดพลาดและก็เจตนาของเชลยตามที่เชลยแถลงปิดคดี แต่ว่าเป็นหน้าที่และก็อำนาจของศาลที่จะสืบสวนค้นหาความเป็นจริงแล้วก็ใช้ดุลยพินิจวิเคราะห์ชั่งน้ำหนักหลักฐานทั้งมวลว่าความจริงยอมรับฟังได้หรือเปล่าว่าเชลยเป็นผู้ที่ทำความผิดตามฟ้อง เมื่อตรึกตรองหลักฐานตามทางสอบปากคำของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ครองตำแหน่งด้านการเมือง ประกอบสำนวนการสอบปากคำของคณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และก็แถลงปิดคดีของเชลยแล้ว เรื่องจริงฟังได้ว่า เชลยมิได้ร่วมสัมมนารวมทั้งโหวตร่าง พระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 พุทธศักราช … ปราศจากความบกพร่องหรือผิดพลาด ดังต่อไปนี้ เมื่อเชลยมิได้อยู่ในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรในตอนที่มีการลงความเห็น แม้กระนั้นมีการนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของเชลยไปใช้โหวต ประกอบกับระบบลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ปราศจากความบกพร่องหรือขาดตกบกพร่อง รวมทั้งช่องแทงบัตรลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่พอต่อการใช้แรงงานของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นหนทางให้สามารถนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่นมาลงความเห็นได้ การปฏิบัติดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ความเป็นจริงฟังได้ว่า เชลยฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของเชลยกับผู้แทนราษฎรรายอื่น หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของเชลยไปอยู่ในความครองของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่น โดยเชลยยินยอมให้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายนั้นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของเชลยปรากฏตัวและก็ลงความเห็นแทนเชลย
เมื่อการออกเสียงลงคะแนนสำหรับการไตร่ตรองร่าง พระราชบัญญัติของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นสิทธิเฉพาะบุคคลของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเข้าสัมมนาแล้วก็อยู่ในห้องประชุมตอนที่มีการออกเสียงลงคะแนนแค่นั้น ผู้กระทำระทําใดเพื่อมีการออกเสียงลงคะแนนแทนกันก็เลยเป็นการตรงข้ามวิธีการออกเสียงลงคะแนนตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 120 วรรคสาม ที่ให้สมาชิกคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งสำหรับในการออกเสียงลงคะแนน และไม่ถูกใจด้วยข้อกำหนดการสัมมนาสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช2551 ข้อ 72 วรรคสาม ที่ระบุว่า การออกเสียงลงคะแนนจะทำแทนกันมิได้ อันเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่ซื่อสัตย์ ส่งผลทําให้การออกเสียงลงคะแนนของสภาผู้แทนราษฎรสำหรับการสัมมนาไตร่ตรองนั้นไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่จริงจริงของผู้แทนประชาชนคนประเทศไทย
ความประพฤติปฏิบัติของเชลยก็เลยนำไปสู่ความทรุดโทรมแก่สามัญชน แล้วก็สภาผู้แทนราษฎรอันเป็นหน่วยงานที่ทําหน้าที่นิติบัญญัติแล้ว แม้ว่าจะไม่ทำให้ขั้นตอนการออกพระราชกฤษฎีกาเสียไปความประพฤติปฏิบัติของเชลยเป็นความไม่ถูกฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของเมืองปฏิบัติ หรือยกเว้นการกระทำประการใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อิทธิพลในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยไม่ถูกต้อง เพื่อกำเนิดความทรุดโทรมแก่ผู้หนึ่งผู้ใดกันแน่ และก็การที่เชลย ซึ่งมีบทบาทพิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติต่างๆกลับฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของเชลยกับ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่นหรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของเชลยไปอยู่ในความถือครองของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่น โดยเชลยยินยอมให้ผู้แทนราษฎรรายนั้นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของเชลยแสดงตัวและก็ลงความเห็นแทนเชลย สำเร็จให้ร่างพระราชบัญญัติดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วผ่านการพิเคราะห์ของสภาผู้แทนราษฎร เป็นในกรณีที่เชลยอาศัยจังหวะสำหรับในการดำเนินงานในหน้าที่ของตัวเองเป็นหนทางสำหรับเพื่อการเสาะหาคุณประโยชน์อันมิควรได้โดยถูกกฎหมายสำหรับตัวเอง นับได้ว่าเป็นปฎิบัติหรือยกเว้นการกระทำหน้าที่โดยโกงแล้ว ความประพฤติของเชลยก็เลยเป็นความไม่ถูกฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของเมืองปฏิบัติหรือยกเว้นการกระทำหน้าที่โดยคดโกงด้วย
อย่างไรก็ดี ต้นเหตุที่ทำให้เชลยทำผิดคราวนี้เกิดขึ้นจากเชลยจะต้องไปเป็นวิทยากรในงานพูดคุยแบ่งปันวิชาความรู้หน้าที่แม่สมัยดิจิทัลที่ห้องที่ใช้สำหรับการประชุมชั้น 5 สถาบันปรับปรุงประสิทธิภาพวิชาการ ตามแผนการกิจกรรมเวทีสาธารณะเปลี่ยนศึกษาให้กับแม่รวมทั้งเด็กในชุมชน หัวเรื่องการเลี้ยงลูกในช่วงดิจิทัล ที่จัดขึ้นในขณะเดียวกับที่สภาผู้แทนราษฎรพินิจพิเคราะห์ พระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 พุทธศักราช … ซึ่งเป็นข้อบังคับที่สำคัญ ประกอบกับร่าง พระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 พุทธศักราช … ประกาศใช้บังคับเป็นข้อบังคับแล้ว
การปฏิบัติที่คดีก็เลยเกิดเรื่องที่ไม่รุนแรงมากสักเท่าไรนัก เมื่อไม่ปรากฏว่าเชลยเคยกระทำผิดหรือได้รับโทษจำเรือนจำมาก่อน กรณีมีเหตุควรเมตตาปรานีแก่เชลยเพื่อช่องทางเชลยกลับตัวกลับใจประพฤติตัวเป็นราษฎรดีถัดไป แต่ว่าเพื่อเชลยเข็ด เห็นสมควรลงอาญาปรับเชลยในสถานที่หนัก
พิพากษ์ว่าเชลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติเกี่ยวกับการปกป้องคุ้มครองแล้วก็ปราบการคดโกง พุทธศักราช2561 มาตรา 172 ติดคุก 1 ปี รวมทั้งปรับ 2 เเสนบาท โทษจำเรือนจำให้คอยการลงอาญาไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ถ้าเชลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดแจงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีจำต้องขังแทนค่าปรับให้กักคุมไม่เกิน 1 ปี
ต้นเหตุคดีนี้คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาขอให้วิเคราะห์ว่า เชลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองตำแหน่งด้านการเมืองละเมิดไหมประพฤติตามมาตรฐานทางจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงตาม พ.ราชการเปรียญเกี่ยวกับการปกป้องคุ้มครองและก็กำจัดการโกง พุทธศักราช2561 มาตรา 87 ตามคดีลำดับที่ดำที่ คมจังหวัด 2/1564 ซึ่งอยู่ในขณะที่ศาลฎีกานัดหมายพร้อมในวันที่ 16 ส.ค.เวลา 09.00 น. เพื่อคอยฟังผลคดีนี้
นักข่าวกล่าวว่า สำหรับรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช2560 มาตรา 101 (13) กำหนดไว้ว่า สมาชิกภาพ ของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อ จะต้องคำตัดสินจนถึงที่สุดให้ติดคุก แม้ว่าจะมีการรอคอยการลงทัณฑ์ เว้นแต่ว่าเป็นการคอยการลงทัณฑ์ในข้อผิดพลาดอันได้ปฏิบัติโดยประมาท ข้อผิดพลาดลหุโทษหรือข้อผิดพลาดฐานสบประมาท
ผู้รายงานข่าวแถลงการณ์ว่า ในตอนนี้ศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำเเหน่งด้านการเมืองมีชั้นวิเคราะห์อุทธรณ์ อีก 1 ชั้น ซึ่ง นางสาวธณิกานต์ พรดงษาโรจน์ สามารถขออุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อห้องประชุมใหญ่ศาลฎีกา ได้ด้านใน 30 วันนับจากมีคำวินิจฉัย โดยห้องประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะเลือกตุลาการศาลฎีกาอีก 9 คน ที่ไม่เคยตัดสินโทษนั้นมาก่อน พอๆกับว่าคดีนี้ถ้าเกิดมีการขึ้นไปถึงชั้นวิเคราะห์อุทธรณ์คดียังไม่ถึงที่หมด เเต่แม้ นางสาวธณิกานต์มิได้ขออุทธรณ์ใน 30 วันสมาชิกสภาพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็จะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช2560 มาตรา 101 (13)